Page 49 - 3_60
P. 49
ประเพณีและวัฒนธรรมของชาวแสก “พิธีกินเตดเดน” นากะแด้ง” คือ เมืองภูวดลฯ และบ้านนากะแด้ง เพราะว่าในสมัย
เป็นประเพณีพิธีกรรมอย่างหนึ่ง โดยการประกอบพิธีกรรมขึ้นมา ที่ยังขึ้นกับราชอาณาจักรไทย (ก่อน พ.ศ. ๒๔๓๖) เรียกว่า เมือง
เพื่อเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อ “โองมู้” ที่ชาวไทแสก ภูวดลสอางค์ เคยขึ้นกับเมืองสกลนคร แล้วโอนมาขึ้นกับเมือง
เคารพนับถือ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวไทแสก เป็นผู้มีพระคุณ นครพนมในตอนปลายสมัยรัชกาลที่ ๕ ชาวกะโซ่อพยพมาอยู่
ต่อลูกหลานรุ่นหลังๆ สืบต่อกันมา “โองมู้” จะท�าหน้าที่คุ้มครอง ในเขตเมืองสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร ในสมัยรัชกาล
อันตรายที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน และดลบันดาลให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ที่ ๓ ส่วนชาวกะโซ่ซึ่งอพยพมาจากแขวงอัดปือไปอยู่ในท้องที่
ตามที่ “ผู้บ๊ะ” (บนบาน) โดยมี “กวนจ�้า” เป็นสื่อกลางในการ จังหวัดศรีสะเกษ และจังหวัดสุรินทร์ เรียกว่าพวก “ส่วย”
ประกอบพิธีกรรม แต่ถ้าหากลูกหลานประพฤติมิชอบ ไม่เหมาะสม หรือ “กุย” พูดภาษาเดียวกับพวกกะโซ่ ศิลปวัฒนธรรมของ
หรือท�าพิธีบนบานแล้วไม่ประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่ถูกดีงาม ชาวไทยกะโซ่ซึ่งยังรักษาไว้เป็นเอกลักษณ์ประจ�าเชื้อชาติเด่นชัด
หรือไม่มีพิธีกรรม เก่บ๊ะ (พิธีแก้ค�าบนบาน) ก็จะท�าให้เกิด ก็คือ “โซ่ถั่งบั้ง” หรือภาษากะโซ่เรียกว่า “สะลา” เป็นพิธีกรรม
เหตุเภทภัยในครอบครัว ในการบวงสรวงวิญญาณของบรรพบุรุษประจ�าปีหรือเรียกขวัญ
เพื่อเป็นการตักเตือนให้ลูกหลานประพฤติปฏิบัติ และรักษาคนเจ็บป่วย กับพิธีกรรม “ซางกระมูด” ในงานศพ
ในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ตัวอย่างเช่น อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย วันนี้จะยกตัวอย่างประเพณีที่ส�าคัญของชาวไทโส้ เฃ่น
เกิดอาการร้อนรนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่เมื่อท�าการบ๊ะ หรือ พิธีเหยา ในการรักษาความเจ็บป่วยหรือเรียกขวัญ คล้ายๆ
เก่บ๊ะ แล้วเหตุร้ายก็จะกลายเป็นดี พิธีกรรมกินเตดเดนนี้ชาวไทแสก กับพิธีกรรมของชาวอีสานทั่วไป เพื่อเป็นก�าลังใจให้ผู้ป่วยหรือ
เชื่อว่า พิธีกรรมนี้มีบทบาทในการสร้างความศรัทธา ความเชื่อมั่น การเรียกขวัญ โดยหมอผีจะท�าหน้าที่ล่ามสอบถามวิญญาณของ
ความรู้สึกดีๆ ร่วมกัน ความรู้สึกผูกพันที่มีในสายเลือดเผ่าพันธุ์ บรรพบุรุษ ว่าได้กระท�าสิ่งหนึ่งสิ่งใดล่วงเกินในขนบธรรมเนียม
เดียวกัน เป็นการสร้างจิตส�านึกให้ชาวไทแสกทุกคนเกิดความรัก ประเพณีไปบ้าง
ความหวงแหนในวัฒนธรรมประเพณีของตน ชาวไทยกะโซ่มีผิวกายด�าคล�้า เช่นเดียวกับพวกข่า
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ เสนาบดี
๕. เผ่าไทโส้ หรือไทยกะโซ่ กระทรวงมหาดไทย ทรงกล่าวถึงการแต่งกายของชาวกะโซ่ไว้ใน
กลุ่มชาวไทโส้ บางท้องที่ก็เรียกว่า พวก “โซ่” แต่ หนังสือเรื่อง “เที่ยวที่ต่างๆ ภาค ๔” เมื่อเสด็จภาคอีสาน เมื่อ
ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน เขียนว่า “กะโซ่” ซึ่งยังมี พ.ศ. ๒๔๔๙ ไว้ว่า… “ผู้หญิงไว้ผมสูง นุ่งซิ่น สวมเสื้อกระบอก
ผู้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นพวกเดียวกับลาวโซ่งในจังหวัดเพชรบุรี ย้อมคราม ห่มผ้าแถบ ผู้ชายแต่งกายอย่างคนเมือง แต่เดิมว่า
นครปฐม และสุพรรณบุรี ส�าหรับลาวโซ่งคือพวกไทด�า ที่อพยพ นุ่งผ้าเตี่ยวไว้ชายข้างหน้าข้างหนึ่ง…”
มาจากแคว้นสิบสองจุไทยในสมัยกรุงธนบุรี ส่วน “ข่าโซ่” ซึ่ง
ถือว่าเป็นข่าพวกหนึ่ง อยู่ในตระกูลมอญ เขมร
กะโซ่ตามลักษณะและชาติพันธุ์ถือว่าอยู่ใน
กลุ่มมองโกลอยด์ กะโซ่มีภาษาและ
ขนบธรรมเนียมประเพณีแตกต่างไปจากพวก
ข่าทั่วไป แต่ภาษาของกะโซ่ก็ยังถือว่าอยู่
ในตระกูล “ออสโตรเอเซียติก” สาขา
มอญ เขมร หรือกะตู ซึ่งสถาบันวิจัย
ภาษาฯ ของมหาวิทยาลัยมหิดล
ได้รวบรวมไว้ ในภาษาตระกูลไทย
ถิ่นฐานดั้งเดิมของพวกกะโซ่เดิม
อยู่ที่เมืองมหาชัย ในแขวงค�าม่วน
และแขวงสุวรรณเขต ดินแดน
ลาวปัจจุบัน ส�าหรับเมืองมหาชัย
เดิมชาวบ้านเรียกว่า “เมืองภูวา-
เผ่าไทโส้ วารสาร 47
ทหารพัฒนา